12 July 2024
Cryptocurrency กลายเป็นกระแสบูมขึ้นทั่วโลกในช่วง 2 – 3
ปีที่ผ่านมา
และเป็นที่จับตาจากผู้คนหลากหลายวงการว่าจะเติบโตไปในทิศทางใด
พร้อมกับตั้งคำถามถึงหลายประเด็น
โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัยและความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้
หากติดตามวงการ Cryptocurrency อย่างต่อเนื่อง
นอกจากคำศัพท์อย่าง Bitcoin, Ethereum หรือ Smart Contract
ที่คุ้นหูแล้ว คำว่า Web 3.0 ก็เป็นอีกคำที่ได้ยินกันบ่อย
ๆ
ว่ามันกำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีการท่องโลกอินเทอร์เน็ตในระดับบุคคล
และยังจะเข้ามาเป็นตัวเสริมความแข็งแกร่งของ
Cryptocurrency ได้ในอนาคต แล้ว Web 3.0 คืออะไร?
เทคโนโลยีเว็บและระบบอินเทอร์เน็ตได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
จากเทคโนโลยี Web 1.0 ที่มีลักษณะแบบ Static Web
ที่ผู้ใช้สามารถอ่านคอนเทนต์ได้เพียงอย่างเดียวจากเว็บไซต์
มาสู่ยุค Web 2.0
ที่ผู้ใช้สามารถอ่านและสร้างคอนเทนต์ของตัวเองได้แบบ
Dynamic Web
รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงหรือสร้างเครือข่ายสังคมในโลกออนไลน์ขึ้นเองได้จนเป็นที่มาของยุคแห่ง
อี-คอมเมิร์ซ และ โซเชียลมีเดีย ซึ่ง Tim Berners-Lee
บิดาแห่ง World Wide Web เคยให้นิยามว่า Web 3.0
จะมีลักษณะเป็น Semantic Web
ที่การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างคนและอุปกรณ์จะเป็นแบบอัตโนมัติ
และจะเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์
(Decentralize)
ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีโอกาสที่ระบบทั้งหมดล่มจากจุดบกพร่องเพียงจุดเดียว
(Single Point of Failure)
รวมถึงไม่มีตัวกลางหนึ่งใดที่คอยควบคุมข้อมูลอีกต่อไป
Web 3.0
คือยุคที่ผู้ใช้แต่ละคนจะมีอิสระในการควบคุมข้อมูลของตัวเองในการใช้อินเทอร์เน็ต
จากเดิมที่เราต้องฝากข้อมูลไว้กับบริษัทโชเชียลมีเดียหรือคลาวด์
แต่ในยุคของ Web 3.0 จะเปิดให้ทุกคนช่วยกันดูแลข้อมูล
ส่วนตัวโดยมีเทคโนโลยี Blockchain
เข้ามาจัดการด้านความปลอดภัยในเข้ารหัสที่ซับซ้อนของข้อมูลต่าง
ๆ
ที่จะมีเพียงเจ้าตัวผู้เข้ารหัสเท่านั้นที่ถือกุญแจเพื่อเข้าถึงข้อมูลนั้นได้
รากฐานความปลอดภัยของแนวคิด Web 3.0
นี้จะเปิดโอกาสให้เกิดเทคโนโลยีอื่น ๆ ตามมามากมายเช่น
การจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลเช่น Cryptocurrency
อันเป็นสกุลเงินที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายได้บนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
ที่หลายคนต่างมองว่าจะนำมาสู่ยุคของการเงินแบบไร้ตัวกลาง
(DeFi) ที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร
หรือแม้กระทั่ง NFT
สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก
รวมไปถึงการเข้าร่วมกับชุมชนบนโลกออนไลน์แบบเสมือนจริงโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแพล็ตฟอร์มอันใดอันหนึ่งอีกต่อไป
อันเป็นที่มาของแนวคิด Metaverse
ที่เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงผ่านประสบการณ์ดิจิทัล
มีพื้นที่ให้ผู้คนเข้ามามีปฏิสัมพันธ์และทำกิจกรรมร่วมกันผ่านตัวตนที่เป็นอวตาร
(Avatar) โดยสามารถทำทุกอย่างเช่น การทำธุรกรรม ทำงาน
ซื้อของ เล่นเกม ไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน
และใช้ชีวิตเสมือนในโลกนั้นผ่านโลกออนไลน์ได้เลย
และไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกปลอมแปลงตัวตนบนโลกออนไลน์อย่างที่มักเกิดขึ้นในยุค
Web 2.0 อีกต่อไป เมื่อเราแปลง ID ของเราเป็น NFT ตัวตนใน
Metaverse
ของเราก็จะมีเพียงหนึ่งเดียวและระบุที่มาที่ไปของตัวตนได้ชัดเจน
Web 3.0 และความฝันในการสร้าง Metaverse
นั้นยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ต้องติดตามและพัฒนาต่อไป
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันจะสร้างโอกาสได้มากมายในการทำธุรกิจ
หรือแม้แต่การสร้างนวัตกรรมเพื่อมวลมนุษยชาติเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน
ทำให้หลายฝ่ายต่างจับตามอง รอต่อยอด
และหลายอุตสาหกรรมต่างเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาถึง
ในแง่ของเทคนิค Web 3.0
ที่เหล่านักพัฒนาวาดฝันไว้นั้นจะแตกต่างจาก Web 2.0
อย่างก้าวกระโดด ลักษณะของ Web 2.0
นั้นเป็นระบบที่การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามระบบหรืออุปกรณ์อื่นนั้นเป็นไม่ได้
(Non-Interoperable) แต่ Web 3.0
จะสามารถทำงานร่วมกันได้กับระบบที่แตกต่าง (Interoperable)
การจัดการข้อมูลดิจิทัลอันมากมายมหาศาลใน Web 3.0
นั้นต้องการระบบสืบค้นที่มีประสิทธิภาพเพื่อเรียกใช้ข้อมูลนั้นได้ทันท่วงทีและตรงความต้องการมากที่สุด
นักพัฒนาคาดว่ารูปแบบการติดต่อสื่อสารใน Web 3.0
จะใช้เทคโนโลยี XML (Extensive Markup Language) RDF
(Resource Description Framework) และ OWL (Web Ontology
Language) ที่จะส่งผลให้เกิดนวัตกรรมการจัดระเบียบข้อมูล
และการสืบค้นข้อมูลผ่านฐานข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและตรงประเด็นมากขึ้น
นำมาสู่ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลในลักษณะที่มีความชาญฉลาดคล้ายมนุษย์ในรูปแบบของปัญญาประดิษฐ์
(Artificial Intelligence: AI) ผ่านเทคโนโลยี เช่น
Decentralized ledger technology (DLT) Machine Learning
(ML) หรือ Big Data เป็นต้น
สำหรับนักพัฒนาแล้ว ลองมาดูการเขียนโค้ด Smart Contract
ด้วยภาษา Solidity เพื่อสร้าง Token โดย ERC-20
ซึ่งจะเป็นมาตรฐานในการสร้าง Fungible Asset แต่ในส่วนของ
Non Fungible Asset (NFT) นั้นจะใช้มาตรฐาน ERC-721
แทนได้ในรูปดังอย่าง ดังนี้